หนังดี

NANGDEEREVIEW

รีวิวหนัง Netflix รีวิวหนังใหม่ 2023

เว็บสล็อตออนไลน์
แทงหวยออนไลน์
เว็บแทงบอลออนไลน์
บาคาร่าออนไลน์

รีวิวหนัง The Good Nurse พยาบาลสงสัยว่าเพื่อนร่วมงานของเธออาจเกี่ยวข้องกับการตายอย่างลึกลับของผู้ป่วยหลายคน สำหรับนางพยาบาลที่ดีอย่างเธอ เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่เฉย ทริลเลอร์เบาสมองที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “The Good Nurse” เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเหตุการณ์จริงในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง กำกับโดยโทเบียส ลินด์โฮล์ม ผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ และการแสดงของสองผู้ชนะรางวัลออสการ์ เจสสิก้า แชสเทน และเอ็ดดี้ เรดเมย์น ฉันไม่สามารถหยุดดูได้อีกต่อไป

รีวิวหนัง The Good Nurse

รีวิวหนัง The Good Nurse ติดตามพยาบาลสาวผู้กล้าหาญ “เอมี่” (เจสสิก้า แชสเทน) ในฐานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว นอกจากนี้ยังมีอาการหัวใจวายร้ายแรงที่อาจถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อ แต่เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ต้องดูแลลูกสาวที่น่ารักทั้ง 2 คน เธอจึงทำงานหนักในแผนกไอซียู แต่พยาบาลกลางคืนที่เหนื่อยล้าเช่นคุณก็มีพยาบาลที่เป็นมิตรต่ออาลีชื่อ “ชาร์ลี” (เอ็ดดี้ เรดเมย์น) คอยบรรเทาความกระปรี้กระเปร่าของเธอ

เขาทำงานในแผนกเดียวกับเธอ เขาเป็นคู่นอนดึกในแผนก ICU จนกระทั่งทั้งสองสนิทกัน ความสนิทสนมที่แน่นแฟ้นจนลามไปถึงครอบครัวของเธอ ชาร์ลี ทำให้เอมี่ไว้วางใจด้วยมิตรภาพที่ดีจากเด็กๆ นี่คือเพื่อนที่ดีที่สุดในการแลกเปลี่ยนความรู้สึก อยู่ด้วยความสงสารและอบอุ่นจนผู้ป่วยหลายรายเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา เบาะแสของการสืบสวนพบว่าชาร์ลีเป็นผู้ต้องสงสัยรายสำคัญในคดีนี้ เอมี่ต้องเสี่ยงชีวิตและความปลอดภัยของเด็กๆ เพื่อค้นหาความจริง

รีวิวหนัง The Good Nurse

อึดอัด ชวนลุ้นและได้บรรยากาศที่คาดไม่ถึง

เมื่อต้องลุ้นระทึกไปกับหนังระทึกขวัญ ฉันอดไม่ได้ที่จะตั้งตารอฉากระทึกขวัญที่คาดไม่ถึงและต้องปิดตาดูอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ได้กลับไม่ใช่ เรารู้สึกทึ่งกับการเลือกของภาพยนตร์ในการนำเสนอบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงแนวเพลงช่วงปลายยุค 90 ด้วยพล็อตที่ลื่นไหลและเชื่องช้าที่ทำให้ผู้ชมซึมซับตัวละครซ้ำแล้วซ้ำเล่า สร้างระดับทีละเล็กละน้อยจนกระทั่งถึงจุดพีคในตอนจบ รู้สึกอึดอัดซึ่งถือว่าไม่มีอะไรใหม่แต่ก็ไม่ล้าสมัยเช่นกัน

ความอึดอัดของหนังมีแต่จะอึดอัดมากขึ้นหลังจาก 30 นาทีแรกผ่านไป ความเข้มข้นจะเป็นไดนามิก ตลก อยากรู้อยากเห็น น่าติดตาม แต่ไม่ใช่แบบฉูดฉาด จนเกิดกลิ่นอายหนังสืบสวนที่ดูไร้ลูกเล่นแอบซ่อนปมเด่นให้คนดูลุ้นแทบตายและสร้างความหนักใจ กังวล และแอบเร่าร้อนตลอดทั้งเรื่องที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังแนวสืบสวนสอบสวนที่ไม่น่าสนใจเลย ดาราอย่างเจสสิก้า แชสเทน และเอ็ดดี้ เรดเมย์น มันเป็นไปได้

แอ็กติ้งระดับเทพ

ไม่มีใครเป็นผู้ถือหนังเรื่องนี้ ทุกอย่างเข้ากันได้อย่างลงตัว แต่เราคงคุ้นเคยกับการนำเสนอนี้ดีอยู่แล้ว บทและเรื่องราวค่อยๆ พัฒนาไปทีละน้อย อารมณ์และการแสดงของเรื่องราวจะค่อยๆ ออกสู่สายตาผู้ชม และความกดดันก็เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้หนังมีเสน่ห์ขึ้นเล็กน้อย แน่นอนว่ายังมีการแสดงของสองเจ้าของรางวัลออสการ์ที่ต้องบอกเลยว่าบทนี้ใครเล่นไม่ได้แต่ต้องสองคนนี้

ในทางตรงกันข้าม เอมี่ รับบทโดย เจสสิก้า แชสเทน ดูเรียบเฉยและไร้ความปรานี เรารู้สึกเชื่อมโยงกับความรู้สึกของ Amy เกี่ยวกับชีวิตของเธอเอง ด้วยความกดดันภายในที่ต้องตัดสินใจให้ถูกต้องแต่ก็ยังมีความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น จนคำว่า พยาบาลที่ดี อยู่ไม่ไกลตัวเอมี่เลยจริงๆ บทนี้ดูเหมือนเล่นง่าย มันไม่ง่ายเลยที่จะปลุกอารมณ์ของผู้ชมอย่างเต็มที่เช่นนี้ และเจสสิก้า แชสเทนก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม

เอ็ดดี เรดเมย์น รับบทเป็น ชาร์ลี พยาบาลมือฉมังที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปทำไม อย่างไรก็ตามผู้เขียนยังคงต้องการมอบถ้วยนี้ให้กับเขาเป็นการส่วนตัว ตัวเลขภายในที่มหาศาลและเต็มไปด้วยพลังกระทบความรู้สึกของผู้ชม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชื่อของเขาถึงถูกพูดถึงในโลกภาพยนตร์ มันคุ้มค่าที่จะดูหนังเรื่องนี้ เพราะดูการแสดงของเขาก็ไม่สนุกเลย เพราะดูเหมือนว่าจะเฝ้าดูน้องพรูเล่นบทพยาบาลวิญญาณยังไงยังงั้น

เวลาปล่อยเป็นระลอกในช่วงครึ่งหลังของเรื่อง มันไม่ได้ทำให้ตื่นเต้นมากแต่เข้าถึงอารมณ์ของนักแสดงจริงๆ และถ้าเราเปรียบเทียบกับชีวิตจริง บางที เอ่อ พวกโรคจิตอารมณ์ร้ายหลายคนอาจทำตัวเหมือนชาร์ลีได้ง่ายๆ พฤติกรรมที่แสดงออกเฉพาะเมื่อถูกกระตุ้นบีบเข้ามุมแต่ไม่เคยเผยพฤติกรรมนี้ให้ใครเห็นในยามปกติ หนังพยายามถ่ายทอดความจริงนี้ให้เราได้สัมผัส ถ้าคุณสัมผัสได้

ไม่แปลกใจเลยที่หนังสือชื่อเดียวกับ “ชาร์ลส เกรเบอร์” นักข่าวที่นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังจะคว้ารางวัลสื่อดีเด่นเพราะนำประเด็นนี้มาเขียนเป็นหนังสือได้อย่างน่าสนใจ น่าเสียดายที่สิ่งนี้ขัดแย้งกับความรู้สึกไม่พอใจที่เรียกว่า นี่น่าจะเป็นฉากจบของบทสรุปของใครบางคนในข่าว ตอนจบของตัวละครที่ไม่ถึงจุดสุดยอดของผู้ชม แต่ให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดความรู้สึกระหว่างเพื่อน

เรียกได้ว่าหนังส่งเสริมบรรยากาศการเล่าเรื่องได้ลื่นไหลตั้งแต่ต้นจนจบ ความตื่นเต้นถูกกระตุ้นโดยธรรมชาติ ในตอนท้ายก็ค่อยๆ เงียบลง เหมือนกับการจบของละครเวที ไม่มีเสียงปรบมือจากผู้ชม แต่เป็นการโบกมืออำลาอย่างแผ่วเบา

ติดตามรีวิวหนังใหม่ : รีวิวหนัง

สามารถติดตามข่าวสารวงการภาพยนตร์เพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจของพวกเรา : nangdeereview

รีวิวหนังใหม่ : Luther : The Fallen Sun

ติดต่อสอบถาม และ เข้าร่วมกิจกรรม ได้ที่ LINE : @UFA656

โปรดยืนยันว่าคุณบรรลุข้อกำหนดด้านอายุตามกฎหมาย (18 ปีขึ้นไป) เพื่อดำเนินการต่อ