
เรื่องราวของThe School for Good and Evil
รีวิวหนัง The School for Good and Evil เป็นอีกหนึ่งผลงานต้นฉบับของ Netflix ที่ติดอันดับ Top 10 ด้วย A School of Good and Evil หรือชื่อภาษาไทย “The School of Good and Evil” ถือเป็นภาพยนตร์แนวเทพนิยายที่ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะนอกจากจะติดอันดับ 1 ใน 10 ของ Netflix ในประเทศไทยแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายในกว่า 89 ประเทศทั่วโลกโดยอิงจากซีรีส์ YA หกเล่มในชื่อเดียวกันเขียนบทโดย สมณะชัยนีภาพยนตร์อิงจากหนังสือเล่มแรกในซีรีส์ตีพิมพ์ในปี 2556 ซึ่งขายได้มากกว่า 2,500,000 เล่มทั่วโลกและแปลแล้ว 30 ภาษาแต่แปลกที่ยังไม่มีภาษาไทยฉบับแปลแต่การระเบิดครั้งนี้ผู้เขียนคิดว่าต้องมีแน่นอน
อันที่จริงหนังสือเล่มนี้เกือบจะเป็นซีรีส์มาก่อนเพราะตั้งแต่ปี 2013 Universal Pictures ได้ซื้อลิขสิทธิ์หนังสือและมีแผนระยะยาวในการสร้างซีรีส์โปรดิวเซอร์และทีมเขียนบทดัดแปลงตกเป็นเป้าแต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่ง Netflix เลือกสร้างภาพยนตร์เรื่องต่อไป โดยมีพอล ฟีก นักแสดงผู้เขียนบท โปรดิวเซอร์และผู้กำกับมารับหน้าที่แทน Bridesmaids (2011), Spy (2015), Ghostbusters ฉบับรีบูต (2016) และ Last Christmas (2019) กำกับโดยผู้กำกับทั้งหมด ได้เป็นโปรดิวเซอร์และร่วมเขียนบทกับ Zinani เจ้าของบทต้นฉบับรวมถึงทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างและที่ปรึกษาบท

รีวิวหนัง The School for Good and Evil ติดตามเพื่อนซี้ของสองสาวแปลกหน้า กัลวาดอน (โซเฟีย แอนน์ คารูโซ) เด็กสาวที่พยายามฉีกกรอบและกลายเป็นเจ้าหญิง หญิงสาวที่ถูกตราหน้าว่าเป็นแม่มด วันหนึ่งโซฟีได้เรียนรู้เกี่ยวกับตำนานนี้ผ่านหนังสือมีโรงเรียนชื่อ “The School of Good and Evil” ที่สอนและฝึกฝนตัวละครต่างๆ โรงเรียนแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งเป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงสอนเรื่องความชั่วร้าย แม่มดและพ่อมดแต่ทั้งคู่ถูกพาไปโรงเรียนในคืนพระจันทร์แดง
แต่กลับกลายเป็นว่าโซฟีอยู่ข้างโรงเรียนชั่วร้ายอกาธาล้มลงต่อหน้า Kindness Academy ทั้งคู่ต้องเอาตัวรอดในโรงเรียนและท่ามกลางเพื่อนๆ รอบข้างซึ่งเธอเลือกไม่ถูก รวมถึงอาจารย์ผู้สอน ได้แก่ อาจารย์ใหญ่ (ลอเรนซ์ ฟิชเบิร์น) มิสซิสเลสเซอร์ (ชาร์ลิซ เธอรอน) อาจารย์ใหญ่แห่ง School of Evil ศาสตราจารย์ Dovey (Kerry Washington) คณบดีคณะคุณธรรม ศาสตราจารย์ Emma Anemoni (Michelle Yeoh) ศาสตราจารย์ด้านความงามยังต้องเผชิญหน้ากับตำนานและคำสาปของ Rafal (Kit Young) บุคคลลึกลับที่มีส่วนร่วมในการสร้างโรงเรียนตำนาน

แน่นอน ความสนใจอันดับแรกต้องเป็นนักแสดงชั้นนำบวกกับผู้บรรยาย Cate Blanchett (The Storian) หรือคุณ? ปากกาขนนกที่คอยเขียนเรื่องราวในโลกนิยาย สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือการผสมผสานเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Harry Potter และภาพยนตร์เวทมนตร์อื่น ๆ การผสมผสานระหว่างเทพนิยาย โกธิคแฟนตาซี กับเจ้าชาย เจ้าหญิง ปิศาจ นางฟ้าและแนวคิดจากโลกคู่ขนานและกลิ่นอายต่างๆ บอกเล่าเรื่องราวของภาพยนตร์ดราม่าวัยรุ่นระดับไฮสคูล
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นทั้งไฮไลท์และข้อสังเกตของภาพยนตร์ทั้งเรื่อง (สองชั่วโมงครึ่ง) จุดเด่นคงหนีไม่พ้นการดูง่าย ตัวหนังไม่ได้ซับซ้อนไปกว่าบรรยากาศที่เราคุ้นเคย ภาพยนตร์มหัศจรรย์ทั้งสองเรื่องมีการผจญภัย เด็กที่ถูกเลือก ผี และภาพยนตร์ไฮสคูลแฝงตัวอยู่ในความมัวหมองของเทพนิยายในโรงเรียน มีแม่บ้านสาวหน้าใหม่งี่เง่าที่อยากจะเป็นเจ้าหญิง มีเจ้าชายผู้สูงศักดิ์เป็นชายนิยม และมีเพื่อนที่คอยกลั่นแกล้งสร้างความสนุกสนาน รวมถึง Theme ของนิยายต้นฉบับเรื่อง”ต้องการสื่อสาร”(Gamtic Bites) ขาวดำในโลกเทพนิยายที่มักเหมารวมตัวละครดีและร้ายอย่างตรงไปตรงมา หนทาง ความดีและความชั่วต้องเอาชนะความชั่วและความชั่ว ทั้งรูปร่างหน้าตารูปลักษณ์เสื้อผ้า อะไรดี อะไรไม่ดี โซฟีและอกาธาดูเหมือนจะสะท้อนพื้นที่สีเทาในธรรมชาติของมนุษย์ทั้งในความเป็นจริงและในนิยาย คนปกติถ้าอะไรไม่ขาวก็คิดว่าดำก่อน

ตัวหนังกลับมีปัญหาร้ายแรงและบทค่อนข้างซับซ้อน แม้ว่าตัวหนังเองจะพยายามวิจารณ์ทรอปิคัลหรือสูตรสำเร็จของนิยายแฟนตาซี แต่กลายเป็นว่าตัวหนังเองก็ดูจะตกไปอยู่ในกลุ่มนั้นเช่นกัน “ผู้ถูกเลือก” หรือ “ผู้ถูกเลือก” มีทั้งเจ้าหญิง เจ้าชาย แม่มด สัตว์ประหลาด ปีศาจ เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ ถ้าใครชอบอ่าน หากคุณเสพเรื่องราวในเทพนิยายเพียงชั่วคราว ก็ดูจะสนุกไปอีกขั้น เพราะตัวหนังเองก็มี Easter Egg เกี่ยวกับโลกแห่งเทพนิยายอยู่หลายตอน ครึ่งหลังกลับเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จของภาพยนตร์ไฮสคูล รวมถึงหญิงสาวสุดป่วนที่ถูกเพื่อนๆ รังแก ตกหลุมรักหนุ่มป๊อปและต้องการเป็นที่ยอมรับทำให้เดาอะไรแทบไม่ออกในครึ่งหลังของหนังที่ทำเอาปวดหัวเพราะหนังเข้าประเด็นแค่คลุมเครือ
ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับไปสู่สูตรสำเร็จ หนังเรื่อง High School ถูกกลบด้วยหนังแฟนตาซี ในบรรดาตัวละครเหล่านี้นอกจากจะเต็มไปด้วยเรื่องราวของตัวละครมากมายตามสูตรแล้วเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ยังเบา ๆ แบน ๆ หลายครั้งเราจึงเห็นตัวละครบางตัวเสียสติและดำเนินเรื่องง่าย ๆ ตรง ๆ บางครั้งไม่มีเลย ตรรกะเลย และหลายครั้งที่ตัวละครบางตัวขาดหายไป ซึ่งน่ารำคาญ และบางตัวก็ดีมาก แต่เมื่อมันแย่ มันไม่ได้แย่ที่สุด ทั้งหมดนี้นำไปสู่ข้อสรุปที่เราไม่ต้องคิดนาน ความดีมีชัยเหนือความชั่ว คนดีสามารถมีชัยเหนือคนเลวได้จนถึงที่สุด เกรย์จนตาย ในที่สุดก็เอาชนะประเด็นได้ อีกทั้งตัวร้ายตายง่ายไม่เหมาะกับตำนานที่สร้างไว้แล้ว แม้ว่าตอนจบของหนังจะพยายามหักมุมและจบลงด้วยมิตรภาพและความรักที่แท้จริง แต่มันจบลงแบบที่ฉันเดาได้ และยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีกว่าตกลงอะไรกัน
สรุปรวม The School for Good and Evil
นักแสดงชื่อดังคนอื่น ๆ ที่เข้าร่วม ได้แก่ Laurence Fishburne, Charlize TheronและKerry Washington ในขณะที่ Michelle Yeoh ต้องได้รับการเสนอชื่อข้างต้นเป็นตัวประกอบที่แท้จริง หนังเรื่องนี้มี Furiosa มีเมอร์ฟี่ มีซีเจย์ และมีภรรยาของจังโก้เป็นไปได้ที่จะได้ภาพจำนวนมากมีเพียงคนจำนวนมากที่ทำได้ดีตามมาตรฐานระดับแม่เหล็ก แต่เรียกได้ว่าเป็นตัวประกอบจริง ๆ แทบไม่มีใครหรือช็อตไหนที่เป็น MVP เลย
โดยรวมแล้ว”The School of Good and Evil” และ “The School of Good and Evil”น่าจะเหมาะสำหรับแฟนหนังสตรีนิยม ใครชอบแนวเทพนิยายหรือคอการ์ตูนเจ้าหญิงดิสนีย์น่าจะดูเรื่องนี้ได้ (แน่นอนว่าคนที่ไม่ชอบอาจจะชอบหนักกว่าหน่อย) ถ้าไม่คิดมากกับการหนีสูตรสำเร็จด้วยการเป็นตัวของตัวเอง และพฤติกรรมของตัวละครนั้นน่ารำคาญและไม่มีเหตุผล ดูสนุกมากเพราะเครื่องแต่งกายของเขางดงามมาก CG ไม่เลวเลย เป็นหนังธรรมดาที่สามารถเปิดให้เด็ก ๆ ดูด้วยกันได้ไม่เสียหายอะไร สำหรับเนื้อหาของเรื่องราวบางทีผู้ปกครองต้องให้ความรู้แก่บุตรหลานของตนอีกครั้งเพราะครึ่งแรกของหนังขาดหายไปแล้ว
ติดตามรีวิวหนังใหม่ : รีวิวหนัง
สามารถติดตามข่าวสารวงการภาพยนตร์เพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจของพวกเรา : nangdeereview
รีวิวหนังใหม่ : Wednesday