รีวิว Transformers Rise of the Beasts ผู้เขียนและผู้อ่านน่าจะคิดเหมือนกันคือ ภาพสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดหุ่นยนต์ต่างดาวปะทะกัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ใน Transformers จะมีฉากที่ Bumblebee แปลงร่างจาก Volkswagen การเล่นรถกล้ามสุดเท่ห์ Chevrolet Camaro ใน Bumblebee (2018) คือทั้งหมดที่ฉันจำได้แต่ตามจริงแล้วแม้หลังจากดูทุกแผนกแล้ว
รีวิว Transformers แต่ด้วยการเปิดตัว Transformersภาคแรก (2007) และภาคต่อๆ มามันค่อยๆ เปลี่ยนจากหนังสงครามแอคชั่นระเบิดสไตล์ไมเคิล เบย์ มาเป็นหนังครอบครัวผสมความรู้สึก Go Good สไตล์ของสตีเว่น สปีลเบิร์ก กลายเป็นหนังหุ่นยนต์วิชวลเอฟเฟกต์ ขายระเบิดภูเขา เผากระท่อมทำลายซานโล (และขายของเล่น) ที่เต็มไปด้วยเรื่องตลกเกินจริง ตัวละครที่ไม่เข้าท่าจืดชืด ไร้เหตุผลและพล็อตก็เละเทะจนไม่รู้จะจำตรงไหนดี (ยกเว้น Bumblebee ที่ออกอาการขาดบทไปบ้างแต่ก็ยังน่าดูอยู่)
รีวิวบวกเนื้อเรื่อง Transformers: Rise of the Beasts

แน่นอนว่ามีบทวิจารณ์แย่ๆ บวกกับ cap ต่อภาคที่สูงขึ้นแต่ความกดดันด้านรายได้กลับสวนทางกัน (ทั้งๆ ที่ทำเงินให้ค่ายได้เยอะ) ช่วงนั้นกระแสของหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่กำลังมาแรงแฟรนไชส์ซีรีส์ The Muppet Movie กำลังรุ่ง (ก่ายหน้าผาก) รอกันมานานจนมาปีนี้ จู่ๆ Paramount Pictures ก็ขุดซีรีส์นี้ขึ้นมาขุดใหม่ ใน “Transformers: Rise of the Beast” หรือ “Transformers: Rise of Monster Machines” หลังจาก 6 ปีออกมาภาคนี้จะทำหน้าที่เป็นภาคต่อหรือภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง “Bumblebee” และเป็นการรีบูตแบบกึ่งฮาร์ดรีเซ็ตสู่จักรวาลใหม่ที่จะมีโครงเรื่องเป็นของตัวเอง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ใช่ภาคต่อของหนังป๋าเบย์ 5 ภาคแรกแต่อย่างใด
“Transformers: Rise of the Beasts” สานต่อเรื่องราวของสองพ่อลูกผู้ซึ่งในอดีตเป็นผู้ให้กำเนิดและเปิดตัวความสำเร็จของแฟรนไชส์นี้สปีลเบิร์กและปาปาเบ้ยังคงนั่งแท่นในฐานะผู้อำนวยการสร้างรายใหญ่เก้าอี้ผู้กำกับ Steven Caple Jr. ซึ่งเป็นแฟนตัวยงของ Transformers และผู้กำกับภาพยนตร์มวยเรื่อง Tenet II (2018) นั่งบนโพเดียม“น่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว”ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวเกี่ยวกับซูมอร์ฟมาจากแอนิเมชั่น 3 มิติ Beasts vs. Transformers (1996-1999) ซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกในรูปแบบภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชัน ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูสำหรับเด็ก แต่ใครก็ตามที่อายุ 30 ปีขึ้นไปน่าจะคุ้นเคย ทำความคุ้นเคยกับมังงะเรื่องนี้ เมื่อออกอากาศทางช่องเจ็ดสี

เรื่องราวของภาพยนตร์เริ่มต้นในปี 1994 เจ็ดปีหลังจากเหตุการณ์ “Bumblebee” ในบรู๊คลิน นิวยอร์ก เมื่อโนอาห์ ดิแอซ (แอนโธนี รามอส) ทหารผ่านศึกชาวละตินอายุน้อยต้องการออกจากงานเพื่อไปช่วยแม่ของเธอ บริอันนา ดิแอซ (ลูน่า ลอเรน เวเลส) และน้องชายของเธอ คริส ดิแอซ (ดีน สก็อตต์) แต่ไม่มีใครรับสมัครงานเลยสักคน Phantom (Peter Davidson) Porsche 964 Carrera RS 3.8 สีเงินแถบน้ำเงิน หนึ่งในบอทส์ที่ซุ่มซ่อนอยู่บนโลกมีออพติมัส ไพรม์ (ปีเตอร์ คัลเลน) รถหัวลากไลเนอร์ FLA รุ่นปี 1987 หัวหน้าทีม RC (ลิซา โคชี่) นักแข่งสาว Ducati 916 และคามาโรสีเหลืองและดำ คนดีไม่แพ้กันกำลังหาทางกลับไซเบอร์ตรอน
ในขณะเดียวกัน เอเลนา วอลเลซ (โดมินิก ฟิชแบ็ค) นักโบราณคดีสาวที่ทำงานในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีได้ค้นพบเงื่อนงำที่ชี้ไปยังวัตถุมีค่าที่เรียกว่า Twisted Key บางสิ่งกุญแจนี้สามารถนำไปสู่มิติต่าง ๆ ของจักรวาลทั้งหมดได้บอทส์ต้องการพาพวกเขากลับไปยังไซเบอร์ตรอนบ้านเกิดของพวกเขาด้วย แต่ฝ่ายผู้ก่อการร้ายที่ชั่วร้ายต้องการกุญแจไขไปสู่ยูนิคอร์น (โคลแมน โดมิงโก) สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่สามารถใช้กลืนกินดวงดาวทั้งจักรวาลได้ ดังนั้นสครูจ หมาจิ้งจอกผู้โหดเหี้ยมจึงถูกส่ง (ปีเตอร์ ดิงเลจ) ไปตามจับอลาซโซ (มิเชล โหยว) คือเหยี่ยวสงคราม ตัวแทนของการแข่งขันที่รุนแรง นำเหล่าออโตบอทส์รวมถึงโนอาห์และเอเลน่าพบกับซูเปอร์สตาร์รุ่นสุดท้ายที่หลบหนีมายังโลก อาศัยอยู่ในป่าของเปรู พวกเขาร่วมกันหวังว่าจะพบกุญแจ Transwap และช่วยโลกก่อนที่ยูนิคอร์นจะกินมัน

ไม่ว่าจะดู Beasts Rising เป็นภาคต่อของ Bumblebee หรือเป็นการรีบูตแบบ soft โดยการเลือกองค์ประกอบเดียวกันเพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับตัวละครใหม่ในภาค 4 และ 5 ก็ถึงเวลาสร้างเรื่องราวแล้ว การรีบูตอย่างหนักของถนนห่างจาก Papa Bay จักรวาล. ยังไงก็ตามวางโครงเรื่องเองหมดแล้ว เอาตรงๆ หนังยังมีโครงสร้าง วิธีคิด กลิ่น วิธีเล่าเรื่อง และรูปแบบบางส่วนจากจักรวาล Papa Bay ได้รับการสืบทอดอย่างเต็มที่ในพื้นที่นี้ ผู้คนจำนวนมากที่ได้ดูอาจมีความคิดมากมายเกี่ยวกับภาคแรก เพราะภาคนี้เรียกได้ว่าแทบจะหยิบยืมโครงเรื่องและวิธีการเล่าเรื่องของภาคแรกมาเลย โดยเฉพาะธีมเด็กผู้ชายและสัตว์ประหลาด (ชวนให้นึกถึง “อี.ที. ล้านเปอร์เซ็นต์”) เพียงแต่ว่าช่วงนี้ไม่มีสาวเซ็กซี่แล้ว (ว้า)
แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังเรื่องนี้พยายามตีความใหม่ เปลี่ยนแปลง และปรับปรุงซีรีส์รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ Transformers ใหม่ รวมถึงการออกแบบใหม่สำหรับหุ่นยนต์ต่อสู้ โดยเฉพาะการปรับเลขเฉพาะให้คล้ายกับฉบับการ์ตูน (G1) รวมถึงการปรับคาแร็กเตอร์ของหุ่นเหล่านั้น เดิมทีในจักรวาล Ba Bey นั้นห่างไกลกันมาก เมื่อมาถึงทุ่งนี้แล้วจะรู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดกับมนุษย์ สิ่งที่น่าสะเทือนใจยิ่งกว่าในการเป็นมนุษย์คือการปรากฏตัวของหุ่นต่อสู้อันสงบนิ่งของออปติมัส ไพรม์ต่อเจ้านายหัวร้อน มันเจ๋งมากเพราะทุกคำพูดของผู้เฒ่านั้นเท่มากแม้แต่ phantom ที่พีท เดวิดสันพากย์เสียงได้ดีมากและหนังก็พยายามผลักดันสิ่งนั้น Phantom และมนุษย์กลายเป็นเพื่อนกันและสรุปมิตรภาพของ Phantom กับ Noah เช่นเดียวกับภมรในภาคที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ มิราจจึงต้องเป็น MVP ระดับภูมิภาคที่เป็นเอกภาพและเป็นที่ชื่นชอบ ไม่รู้จนกระทั่งฉันดูภาคนี้โดยไม่ได้ดู Bumblebee เกือบ

ผู้เขียนคิดว่าหลายคนต้องรู้สึกแย่กับภาคนี้แน่ๆเพราะฉากแอคชั่น จริง ๆภาคนี้ก็ยังมี Bayhem อยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของโปรดิวเซอร์ แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือภาคนี้เป็นภาพยนตร์ระดับกลางที่ไม่สนใจสิ่งชี้นำเช่นการระเบิด เขาเผากระท่อมโดยเฉพาะฉากแอคชั่นสุดมันส์นี่ถือว่าสนุกและตื่นเต้น แต่ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้น หรือมีมุมกล้องที่ตัดต่อได้อลังการแบบป๋าเบย์ที่อาจรู้สึกจืดๆ หน่อยถ้าใครชอบความอลังการงานสร้างตึกแบบคาร์บอมบ์แต่ถ้าใครรู้สึกสบายใจกับเรื่องราว แทนที่จะเน้นไปที่คำใบ้ของซูเปอร์ฮีโร่ในฉากแอ็คชั่น มันน่าตื่นเต้นกว่าซีเควนซ์แอ็คชั่นของ Bumblebee มากโชคดีที่มันจะหลุดออกไปหลังจากนั้นไม่นานแต่ก็ถือว่ารับได้
ส่วนบทภาพยนตร์แม้วัตถุดิบจะนำมาตีความใหม่แต่ก็สดใหม่ไม่เลวเลยและผมเชื่อว่ามันแข็งแกร่งเพียงพอในหลาย ๆ ด้านเพื่อดำเนินการต่อแต่ถึงโครงสร้างหลักจะปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงเรื่องของหนังยังไม่มีอะไรใหม่ แม้เนื้อเรื่องจะพยายามพลิกผันเพื่อชิงแทรกแนวทางการดำเนินเรื่องที่สะเทือนใจราวกับหนังสยองขวัญ แทรกมุขฮาๆแทรกเพลงฮิปฮอปยุค 90 ที่ผู้กำกับคัดสรรมาอย่างดี เป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีในผลงานเรื่องก่อนๆแต่โครงสร้างบทและโครงเรื่องโดยรวมยังคงใช้บทเล่าเรื่องซึ่งเป็นสูตรสำเร็จตามแบบฉบับ “Transformers” เท่แต่ไม่หวือหวา

ภาพยนตร์ดำเนินต่อไปด้วยเนื้อเรื่องของภารกิจของชาวไซเบอร์โทรเนียนเพื่อค้นหาสิ่งที่มีค่า เป็นเพียงการที่แผนกนี้เพิ่มบทเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของมนุษย์ในงานที่ชัดเจนขึ้น ไม่มีทหารหรือกองทัพให้ติดตามและไม่มีความพยายามที่จะให้บอทส์มีความสามารถเหมือนพระเจ้าเหมือนภาคก่อนๆ แต่มีเนื้อเรื่องที่บอทส์รู้ว่าพวกเขาพ่ายแพ้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยล่าสมบัติอย่าง “Raiders of the Lost Ark” โครงเรื่องและแอ็คชั่นเรียบง่ายและชัดเจนและส่วนดราม่าเดาได้ไม่ยาก เน้นดูเพลินไม่มีซับเนื้อเรื่อง ไม่มีอาการบรรณาธิการเวียนหัวเหมือนเมื่อก่อนไม่รู้ว่าใครตีใคร
แต่บทนี้ก็มีจุดสังเกตเช่นกัน ผู้เขียนคิดว่าหนังเรื่องนี้ยังไม่กระชับพอที่จะครอบคลุมความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนคนกับหุ่นยนต์ และหุ่นยนต์กับหุ่นยนต์ ลากเข้าสู่ปมดราม่าที่หนังวางเอาไว้แล้วและช่วยเติมเต็มให้หนังมีอารมณ์ร่วมมากขึ้นไม่หนักหนาเท่าหนังอ่าว โดยเฉพาะคู่หู Noah และ Phantom ที่เพิ่มสีสันให้หนังน่าสนใจและน่ารักมากขึ้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความยาว 2 ชั่วโมงทำให้หนังสั้นเกินไปที่จะครอบคลุมความสัมพันธ์เชิงลึกของตัวละครแต่ละตัวและรูปแบบความสัมพันธ์ที่หลากหลายทำให้ผู้ชมรู้สึกอิ่มเอมใจได้อย่างเต็มที่ซึ่งน่ารักและสะเทือนใจยิ่งกว่า “Bumblebee” กลายเป็นความสัมพันธ์แบบบางๆ ที่ไม่ชวนให้เข้าถึงบทละครได้เต็มที่

อีกจุดคือการกระจายบทน่าเสียดายอย่างยิ่งที่พวกเขาพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อนำเผ่า Maximal เข้าสู่รายการซึ่งถือเป็นจุดขายสำคัญของอุตสาหกรรมและเอาจริงเอาจังนักรบยักษ์ทุกคนถือเป็นโรงไฟฟ้าและนักรบระดับเทพแต่โชคไม่ดีที่หนังไม่ได้เปิดเผยหรือปูรายละเอียดเพิ่มเติม นอกจากนี้ เมื่อรวมทีมกับบอทส์ในช่วงท้ายของการต่อสู้ นอกจากนี้ พล็อตโฮลก็ถูกลบออกไปด้วย ความน่าผิดหวังและการตัดสินใจของตัวละครบางตัวระหว่างทางที่ตัดสินใจทำอะไรลงไปผู้เขียนสามารถคิดหาเหตุผลได้ว่าทำไมแต่แอบไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่
ตีความใหม่ (ตามสูตรเรื่องย่อ) หนังเรื่องนี้แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ องค์ประกอบหลาย ๆ อย่างยังผิดพลาดอยู่ แต่น่าจะเป็นโอกาสดีของใครหลายคนที่เคยรู้สึกอ่อนแอ ท้อแท้ เบื่อ ท้อแท้ ลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำชาวซีรี่ย์ลองเปิดใจกลับมามองใหม่พล็อตและส่วนอารมณ์อาจไม่ดึงดูดเท่า “Bumblebee” แต่ความคิดริเริ่มยังคงเป็นที่น่าพอใจตัวซีรีส์เองก็พยายามคิดสูตรใหม่สำหรับหนังที่ใส่ใจคนดูมากขึ้นไม่ต้องพยายามเอาหัวโขกบ้านเข้าบ้านเหมือนเคยอีกต่อไป ทำให้ซีรีส์ดูน่าสนใจพอที่จะมีรูปเป็นร่างและแนวทางไปต่อได้ในระยะยาวไม่ใช่แค่หุ่นยนต์ยักษ์สู้กันแต่เน้นขายของเล่น เหมือนที่ผ่านมา ภาค 4 กับ 5 ก็ขาย CG เหมือนกัน
ติดตามรีวิวหนังใหม่ : รีวิวหนัง
สามารถติดตามข่าวสารวงการภาพยนตร์เพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจของพวกเรา : nangdeereview
รีวิวหนังใหม่ : Vagabond